อาหารลูกกุ้ง
12/9/2546
15:20:42, by
ธิดา เพชรมณี
อาหารลูกกุ้ง
ธิดา เพชรมณี
สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง
ถ.เก้าแสน ซอย 1 อ.เมือง
จ.สงขลา 90000 โทรฯ (074)
311895
ลูกกุ้งในที่นี้
หมายถึง
ลูกกุ้งในกลุ่มกุ้งกุลาดำและแชบ๊วย
ในระยะที่หน้าตายังไม่เหมือนพ่อ
- แม่
ซึ่งเป็นระยะที่ลูกกุ้งยังอยู่ในโรงเพาะฟักหรือบ่ออนุบาล
การอนุบาลเชิงธุรกิจต้องทำแบบเข้มข้น
คือ
อนุบาลลูกกุ้งด้วยความหนาแน่นสูง
เริ่มต้นด้วยการใส่ลูกกุ้งในระยะนอเพลียส
100 ตัว/ลิตร
หรือถ้าฝีมือดีมาก
อาจจะถึง 200 ตัว/ลิตร
ต้องให้อาหารอย่างเพียงพอและต้องดูแลสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมตลอดระยะเวลาของการอนุบาล
21-25
วันในประเทศไทย (อุณหภูมิผันแปรอยู่ในช่วง
27-32 ๐C)
เพื่อให้ได้ลูกกุ้งพี
15 (โพสลาวา 15)
ที่พร้อมจะลงนาหรือบ่อเลี้ยง
เมื่อได้ลูกกุ้งนอเพลียสที่ดีมาแล้ว
การพิจารณาเลือกและให้อาหารอย่างเหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญมาก
เป็นหัวใจของการอนุบาล
เพราะความผิดพลาดในเรื่องนี้จะนำมาซึ่งความล้มเหลวอย่างแน่นอน
ลูกกุ้งเริ่มกินอาหารเมื่อเข้าระยะโซเอีย
มีขนาดแค่ 1
มิลลิเมตร
เล็กจนมองแทบไม่เห็น
บอบบาง อ่อนแอ
ตายง่าย
และตายง่ายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในช่วงของการลอกคราบซึ่งเกิดขึ้นทุกวัน
เมื่อเป็นอย่างนี้อาหารที่ใช้เลี้ยงลูกกุ้งในบ่ออนุบาลในประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทยควรจะเป็นอาหารมีชีวิต
หรือพวกแพลงก์ตอน
ในช่วงแรกตามด้วยอาหารไม่มีชีวิต
หรืออาหารสำเร็จในช่วงหลัง
เมื่อลูกกุ้งโตและแข็งแรงขึ้นแล้ว
ญี่ปุ่นเป็นชาติแรก
ในโลกที่ประสบความสำเร็จในการเพาะและอนุบาลลูกกุ้ง
ในกลุ่มกุ้งกุลาดำ-แชบ๊วย
เมื่อ 70 ปีก่อน
โดยใช้อาหารมีชีวิตคือสเกลีโตนีมา
ซึ่งเป็นแพลงก์ตอนพืชในกลุ่มไดอะตอมเป็นอาหารลูกกุ้งในระยะโซเอีย
แล้วใช้อาหารมีชีวิตคืออาร์ทีเมียเพิ่งฟัก
ซึ่งเป็นแพลงก์ตอนสัตว์อนุบาลลูกกุ้งหลังจากนั้น
ต่อมามีการศึกษาเพื่อพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งในกลุ่มนี้อีกมากมายมีข้อมูลในเรื่องอาหารที่ใช้สรุปได้ดังนี้
ระยะโซเอีย
ลูกกุ้งกินอาหารสำเร็จได้แต่แพลงก์ตอนพืช
คือ
ไดอะตอมมีชีวิตดีที่สุด
เพราะล่องลอยได้ดี
สอดคล้องกับลูกกุ้ง
คุณค่าทางโภชนาการดีและขนาดเหมาะสม
เมื่อยังไม่ถูกกินนอกจากไม่เน่าเสีย
ไดอะตอมยังเพิ่มจำนวนได้
ช่วยกำจัดสารพิษอย่างแอมโมเนียได้
และช่วยเพิ่มออกซิเจนได้หากได้รับแสงอย่างเพียงพอ
ระยะไมซิส ลูกกุ้งยังอ่อนแอ
ตายง่าย
ถึงแม้จะใช้อาหารสำเร็จได้
แต่ใช้อาหารมีชีวิตจะดีกว่า
อาหารมีชีวิตในระยะนี้
ควรเป็นโรติเฟอร์
ซึ่งเป็นแพลงก์ตอนสามารถเพิ่มจำนวนได้เมื่อยังไม่ถูกกิน
ช่วยกินจุลินทรีย์และของเสียชิ้นเล็ก
ๆ ได้
ระยะโพสลาวาต้น
ลูกกุ้งโตขึ้น
สามารถใช้อาหารสำเร็จได้
ถ้าดูแลคุณภาพของน้ำได้ดี
แต่ถ้าใช้อาหารมีชีวิต
เช่น
อาร์ทีเมียเพิ่งฟักหรือไรน้ำกร่อย
จะช่วยให้การอนุบาลง่ายขึ้นมาก
ตั้งแต่พี 8
ไปแล้วลูกกุ้งจะเลี้ยงง่ายขึ้นมาก
ใช้อาหารสำเร็จที่เหมาะสมได้เลย
ที่ผ่านมานักเพาะเลี้ยงส่วนใหญ่อนุบาลลูกกุ้งโดยนำวิธีการของไต้หวันมาประยุกต์ใช้
นั่นคือให้อาหารสำเร็จตั้งแต่ระยะโซเอียต่อด้วยอาร์ทีเมียเพิ่งฟักเพียงอย่างเดียว
หรือร่วมกับอาหารสำเร็จหรือไข่ตุ๋นตั้งแต่ระยะไมซิส
โดยใช้ยาและสารเคมีควบคุมคุณภาพของน้ำและการเกิดโรค
การอนุบาลได้ผลดีมีกำไรสูง
เมื่อคุณภาพของน้ำที่นำมาใช้ดี
และไข่อาร์ทีเมียราคาไม่แพงมาก
แต่ปัจจุบันคุณภาพของน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเสื่อมลง
ไข่อาร์ทีเมียขาดแคลน
และมีราคาสูงขึ้นมาก
ถ้าจะใช้อาร์ทีเมียเพิ่งฟักเต็มอย่างแต่ก่อนก็จะทำกำไรไม่ได้
แต่ถ้าใช้น้อยลงมากโดยไม่ปรับเปลี่ยวิธีก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการอนุบาล
หรือทำให้ได้ลูกกุ้งด้อยคุณภาพ
เราจึงสมควรเลี้ยงลูกกุ้งแบบอิงธรรมชาติ
ไม่ต้องใช้อาร์ทีเมียและเปิดบ่ออนุบาลให้แสงแดดส่องถึง
โดยให้อาหารดังนี้
ลูกกุ้งในระยะโซเอียให้ไดอะตอม
คือ คีโตเซอรอส
(Chaetoceros gracilis หรือ C.
calcitrans) หรือ
สเกลีโตนีมา
(Skeletonema coatatum)
เพราะไดอะตอม 2
ชนิดนี้มีคุณค่าทางโภชนาการดี
มีขนาดเหมาะสมจะใช้ชนิดใดก็ให้ผลดี
เพาะเลี้ยงในประเทศไทยได้ดี
คีโตเซอรอสสามารถเพาะเลี้ยงในภาคกลางได้ตลอดปี
โดยใช้เวลา 1-3 วัน
ส่วนสเกลีโตนีมาจะเพาะเลี้ยงในภาคใต้ได้ตลอดปีโดยใช้เวลา
1-12 วัน
ถ้าจัดแสงและอุณหภูมิในบ่ออนุบาลได้เหมาะสม
ให้ไดอะตอมเพียงมื้อเดียว
ลูกกุ้งจะมีอาหารกินอย่างเพียงพอทุกวันจนเข้าระยะไมซิสด้วยคุณภาพของน้ำที่ดี
เพราะไดอะตอมที่รอให้ถูกกินจะเพิ่มจำนวนและช่วยให้คุณภาพของน้ำดีโดยไม่ต้องอาศัยยาและสารเคมีใด
ๆ
อาหารลูกกุ้งในระยะไมซิส
ควรเป็นโรติเฟอร์
(Brachionus rotundiformis)
หรือโรติเฟอร์ร่วมกับไดอะตอม
ไม่ใช่อาร์ทีเมียเพิ่งฟัก
ซึ่งโตเกินไปสำหรับลูกกุ้งในระยะนี้
ถ้านำไปลวกก่อนให้ลูกกุ้งก็จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลง
และสูญเสียคุณค่าความเป็นอาหารมีชีวิตที่จะช่วยดูแลคุณภาพของน้ำ
โรติเฟอร์เป็นแพลงก์ตอนสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำชายฝั่งรวมทั้งบ่อเลี้ยงกุ้ง
โรติเฟอร์เจริญเติบโตเร็ว
เพาะเลี้ยงได้ดีทั้งภาคกลางและภาคใต้
เพาะเลี้ยงเพียง
1
วันก็เก็บเกี่ยวไปใช้ได้
ให้โรติเฟอร์เพียงวันละ
1 ครั้ง
ลูกกุ้งจะเจริญเติบโตได้ดี
เมื่อลูกกุ้งเข้าระยะโพสลาวายังให้กินโรติเฟอร์ต่อไปได้อีก
3-4 วัน
แต่ต้องให้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว
เพราะลูกกุ้งโตขึ้นมากและแข็งแรงขึ้น
ในระยะนี้เราถ่ายน้ำหรือดูดตะกอนอย่างระมัดระวังได้โดยไม่ทำอันตรายลูกกุ้งและนับจานี้ไปจะเลิกให้อาหารมีชีวิตเสียก็ได้
จะใช้อาหารสำเร็จที่ซื้อมาหรือไข่ตุ๋นที่ทำเองก็ได้
ลูกกุ้งชอบกินไข่ตุ๋นมากกว่าอาหารสำเร็จหลายชนิดอาจจะเป็นเพราะไข่ตุ๋นนุ่มและล่องลอยมากกว่าอาหารสำเร็จ
และมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือเราสังเกตได้ง่ายเมื่อลูกกุ้งกินเหลือ
แต่ต้องระมัดระวังคุณภาพของน้ำมากกว่าการใช้อาหารสำเร็จ
เพราะเป็นอาหารสดมีน้ำหนักมาก
จึงเน่าเสียเร็วกว่าอาหารสำเร็จ
ในระยะที่อนุบาลลูกกุ้งด้วยไข่ตุ๋นหรืออาหารสำเร็จควรทำสีน้ำให้เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนพืช
และรักษาไว้ทำนองเดียวกับในบ่อเลี้ยงกุ้ง
จะเป็นผลดีกับลูกกุ้งมาก
ทำให้ลูกกุ้งสงบ
กินอาหารดี
เพราะแพลงก์ตอนช่วยลดความโปร่งใส
แพลงก์ตอนช่วยเพิ่มออกซิเจน
ช่วยลดแอมโมเนีย
แพลงก์ตอนให้สารอาหารที่มีทั้งโปรตีน
ไขมัน
กรดไขมันที่จำเป็น
สารรงควัตถุ
วิตามินและเกลือแร่
และยังเหนี่ยวนำให้เกิดจุลินทรีย์อื่น
ๆ
ที่เป็นประโยชน์ก่อให้เกิดระบบนิเวศน์ที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ
แพลงก์ตอนพืชในบ่ออนุบาลลูกกุ้งอาจจะเกิดขึ้นจากพันธุ์แพลงก์ตอนธรรมชาติ
ที่ติดมากับน้ำหรืออุปกรณ์อื่น
ถ้าไม่มีเราใส่ลงไปในบ่อเองได้
เช่น คลอเรลลา
คีโตเซอรอส
สเกลีโตนีมา
หรือสไปรูไลนา
เราไม่ต้องใส่ปุ๋ย
อาหารเหลือของเสียจากกุ้งจะทำให้แพลงก์ตอนเจริญเติบโตได้
หากมีแพลงก์ตอนมากเกินไปจนทำให้พีเอชในรอบวันผันแปรมากหรือแพลงก์ตอนตายลง
การจัดการจะง่ายกว่าในบ่อเลี้ยงกุ้งมาก
เพราะบ่ออนุบาลมีขนาดเล็กและเป็นบ่อซีเมนต์
จะดูดตะกอน
ถ่ายน้ำ
ใส่พันธุ์แพลงก์ตอนลงไปใหม่
หรือย้ายลูกกุ้งก็ได้
แต่ถ้าอยากจะใช้อาหารมีชีวิตต่อไปอีกควรใช้ไรน้ำกร่อย
(Diaphaosoma sp.)
แทนอาร์ทีเมียเพิ่งฟัก
เพื่อลดการสูญเสียเงินตราออกนอกประเทศและจะลดต้นทุนได้มาก
เพราะอาร์ทีเมียเป็นสินค้านำเข้าราคาแพงที่เราเคยใช้เกินจำเป็นในระยะเวลาที่ผ่านมา
มีข้อมูลว่าไทยนำเข้าไข่อาร์ทีเมียมากที่สุด
คือไม่ต่ำกว่า 25%
ของไข่อาร์ทีเมียที่จำหน่ายทั่วโลก
ไข่อาร์ทีเมียส่วนใหญ่นำมาใช้อนุบาลลูกกุ้งที่จะนำไปเลี้ยงให้ได้ขนาดตลาด
เราขายกุ้งได้กิโลกรัมละ
200-300 บาท
ขณะที่ญี่ปุ่นนำเข้าไข่อาร์ทีเมียไม่ถึง
5% ทั้ง ๆ
ที่เขาผลิตสัตว์น้ำราคาแพงหลายชนิด
กุ้งคูรูมาก็ขายแพงมากถึงกิโลกรัมละ
2,000-3,000 บาท
ถ้าเราเลิกใช้อาร์ทีเมียเราจะลดต้นทุนการอนุบาลกุ้งลงได้ไม่ต่ำกว่า
30%
โดยเฉพาะเมื่อราคาไข่อาร์ทีเมีย
1 กิโลกรัม พอ ๆ
กับราคาข้าว 1
เกวียน
อย่างทุกวันนี้ที่สำคัญ
คือ
มีแนวโน้มว่าไข่อาร์ทีเมียจะขาดแคลนอย่างหนักจนถึงขั้นขาดตลาดในอนาคตอันใกล้
หลังจากกรมประมง
โดยสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง
ศึกษาหาวิธีผลิตไรน้ำกร่อยได้
กรมประมงโดยสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจังหวัดตรังก็นำวิธีผลิตไรน้ำกร่อย
ไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพผลิตลูกกุ้งปีละ
30 ล้านตัว
โดยไม่ต้องใช้อาร์ทีเมียเลย
ซึ่งแสดงถึงศักยภาพของไรน้ำกร่อยที่จะนำมาใช้แทนอาร์ทีเมียเพิ่งฟัก
ไรน้ำกร่อยเป็นแพลงก์ตอนสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำชายฝั่งเช่นเดียวกับโรติเฟอร์และถ้าเราช่วยกันผลิต
ช่วยกันใช้
เราจะเป็นประเทศแรกในโลกที่สามารถผลิตแพลงก์ตอนสัตว์ชนิดอื่น
ที่มีขนาดใกล้เคียงและมีคุณค่าทางโภชนาการเท่าเทียมกับอาร์ทีเมียเพิ่งฟักใช้แทนอาร์ทีเมียเพิ่งฟักได้
เนื่องจากประเทศไทย
ยังมีพื้นที่และแรงงานที่มีคุณภาพ
เป็นประเทศในเขตร้อนชื้นที่อาหารสำเร็จที่เหลือในบ่ออนุาลเน่าเสียได้เร็ว
และต้องการผลิตกุ้งเพื่อการส่งออก
จึงควรใช้ต้นทุนให้ต่ำที่สุด
ในการผลิตกุ้งที่มีคุณภาพสูง
และมีอัตรารอดสูง
โดยไม่ต้องใช้ยาและสารเคมีเพื่อกำจัดโรคหรือจัดการน้ำ
การอนุบาลลูกกุ้งอิงธรรมชาติ
โดยการใช้แพลงก์ตอนที่เราเพาะเลี้ยงได้เองจะช่วยลดต้นทุนได้มาก
ไม่ต้องใช้อาร์ทีเมียลูกกุ้งจะเจริญเติบโตได้ดี
แต่ต้องตระหนักว่าในช่วงที่ยังอยู่ในโรงเพาะฟักลูกกุ้งยังเล็กมาก
ลอกคราบทุกวัน
หรือแทบทุวันขณะที่แสงและอุณหภูมิมีการผันแปรไปตามธรรมชาติไม่คงที่เหมือนการใช้อุปกรณ์ควบคุม
นักเพาะเลี้ยงจึงต้องเอาใจใส่สม่ำเสมอและคอยจัดการให้แสงและอุณหภูมิอยู่ในช่วงที่ไม่ทำให้แพลงก์ตอนและลูกกุ้งมีปัญหา
นั่นคือแดดไม่จ้ามากและอุณหภูมิอยู่ในช่วง
27-32๐C
ถ้ามีการเพาะเลี้ยงแพลงก์ตอนเป็นอาชีพ
การเพาะเลี้ยงแพลงก์ตอนจะเป็นธุรกิจใหม่ในวงจรของการเลี้ยงกุ้งที่น่าสนใจ
เพราะลงทุนต่ำ
ได้ผลผลิตเร็ว
ทำกำไรได้
และให้ความสะดวกกับโรงเพาะที่ไม่พร้อมจะผลิตแพลงก์ตอนใช้เอง
ช่วยให้เงินตราหมุนเวียนอยู่ในประเทศ
และช่วยลดต้นทุนการผลิตพันธุ์กุ้งลง
จากหนังสือเสวนาวิชาการเรื่อง
กุ้ง
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล
คณะประมง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รศ.ประจวบ
หลำอุบล
|