ความหลากหลายของชนิดกุ้งสกุล
Penaeus
ที่พบในบริเวณอ่าวไทยตอนบน
16/9/2546
15:03:17, by แขวลี
วิบูลย์กิจ,
สิทธิโชค
จันทร์ย่อง
ความหลากหลายของชนิดกุ้งสกุล
Penaeus
ที่พบในบริเวณอ่าวไทยตอนบน
แขวลี
วิบูลย์กิจ,
สิทธิโชค
จันทร์ย่อง
ความหลากหลายทางชีวภาพ
มีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
เพราะโดยธรรมชาติแล้วสิ่งมีชีวิตนานาชนิด
เป็นแหล่งที่จำเป็น
สำหรับปัจจัยสี่ที่ช่วยค้ำจุนให้มนุษย์ดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข
สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
(2539)
ได้ให้ความหมายของความหลากหลายทางชีวภาพไว้ว่า
"ความหลายหลายทางชีวภาพ
(Biodiversity หรือ Diversity)
คือ
การที่สิ่งมีชีวิตนานาชนิดหลากหลายพันธุ์
(species diversity)
ความหลากหลายภายในชนิดพันธุ์ซึ่งทำให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรม
(genetic diversity)
และความหลากหลายของระบบนิเวศ
(ecological diversity)
กุ้งทะเลเป็นสิ่งมีชีวิตอีกกลุ่มที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง
เนื่องจากอาศัยอยู่ในระบบนิเวศน์ที่แตกต่างกันออกไป
เช่น
ความลึกระดับต่าง
ๆ
บริเวณพื้นทะเลที่เป็นโคลนหรือเป็นทราย
เป็นต้น
และในแต่ละระบบนิเวศน์ยังมีความแตกต่างของกุ้งแต่ละชนิด
(สปีชีส์, species)
บริเวณอ่าวไทยตอนบนถือเป็นระบบนิเวศน์น้ำกร่อย
ที่ได้รับอิทธิพลจากแม่น้ำหลายสาย
ได้แก่ แม่กลอง
เจ้าพระยา
ท่าจีน บางปะกง
ที่พัดพาเอาธาตุอาหารจากแผ่นดินทำให้บริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์
กลายเป็นแหล่งอาศัยและเลี้ยงตัวอ่อนของสัตว์ทะเลจำนวนมาก
โดยเฉพาะกุ้งที่อยู่ในสกุล
(Genus) Penaeus
ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญสามารถทำรายได้ให้กับประเทศมูลค่าปีละหลายหมื่นล้านบาท
กุ้งสกุล Penaeus
เป็นกลุ่มของกุ้งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
และเป็นที่นิยมบริโภคของคนไทยและต่างประเทศมาตั้งแต่อดีตส่วนมากจับจากธรรมชาติ
มีขนาดแตกต่างกัน
บางชนิดใช้บริโภคสด
บางชนิดที่มีขนาดเล็กมักพบรวมกับปลาเป็ดนำไปแปรรูปเป็นกุ้งแห้ง
กะปิ
และอาหารสัตว์
จึงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเนื่องจากมีจำนวนชนิดที่แตกต่างกันมาก
ในปัจจุบันปริมาณกุ้งทะเลที่จับจากธรรมชาติลดลงอย่างมาก
จากสถิติปริมาณการจับกุ้งทะเลจากแหล่งน้ำธรรมชาติตั้งแต่ปี
2525-2537 พบว่าในปี 2525
มีปริมาณสูงถึง
178,500 ตัน
และต่ำสุดในปี 2533
มีปริมาณเพียง
107,400 ตัน
แต่พบว่าในปี 2537
มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น
123,100 ตัน (กองเศรษฐกิจการประมง,
2537)
ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ประกอบกับอ่าวไทยตอนบนซึ่งเคยเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรประมงแต่เนื่องจากการทำการประมงเกินศักยภาพการผลิตและเป็นบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากของเสียต่าง
ๆ
ทำให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลงจึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สูญพันธุ์ของกุ้งบางชนิดได้ในอนาคต
ในการศึกษาเพื่อจะให้ทราบถึงจำนวนชนิดของกุ้งคือการศึกษาทางด้านอนุกรมวิธาน
สำหรับการศึกษาด้านนี้ในประเทศไทยมีน้อยมาก
คู่มือที่ใช้ในการจำแนกชนิดของกุ้งที่มีอยู่เป็นคู่มือที่ใช้มานาน
และเป็นการจำแนกชนิดที่อาศัยลักษณะทางสัณฐานวิทยาเท่านั้นลักษณะบางอย่างไม่สามารถระบุชนิดของกุ้งได้อย่างชัดเจน
การศึกษาทางด้านพันธุกรรมเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ
ข้อมูลที่ได้จากการศึกษารูปแบบของ
DNA
จึงน่าจะสามารถนำมาใช้เทียบเคียงกับลักษณะทางสัณฐานวิทยา
เพื่อการจัดทำคู่มือการจำแนกชนิดของกุ้ง
ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
และสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน
ทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
การอนุรักษ์
และการพัฒนาการประมงได้ต่อไป
แต่การศึกษาทางด้านอนุกรมวิธานของกุ้งยังมีน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับการศึกษาด้านอื่น
ๆ
โดยเฉพาะกุ้งทะเลในสกุล
Penaeus
เป็นกุ้งที่มีขนาดใหญ่
มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากยังไม่เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพของกุ้งสกุลนี้อย่างละเอียดมาก่อน
จึงได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการย้อนบรรยายลักษณะทางสัณฐานวิทยา
ลักษณะการวัดนับ
และลักษณะรูปแบบของ
DNA
เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานและจัดทำคู่มือวิเคราะห์ชนิดของกุ้งในสกุลนี้ใหม่
Farfante
และ Kensley (1997)
ได้จัดลำดับทางอนุกรมวิธานของกุ้งสกุล
Penaeus ไว้ดังนี้
Phylum Arthropoda
Superclass Crustacea Pennant, 1777
Class Malacostraca Latreille, 1806
Order Decapoda Latreille, 1803
Suborder Dendrobranchiae Bate, 1888
Superfamily Penaeoidea Rafinesque-Schmaltz,
1815
Family Penaeidae Rafinesque, 1815
Genus Penaeus Fabricius, 1798
กุ้งสกุล Penaeus
ในประเทศไทยพบ 4
สกุลย่อยได้แก่
สกุลย่อย Melicertus พบ 3
ชนิด คือ P. canaliculatus, P.
latisulcatus, P. longistylus ;
สกุลย่อย Marsupenaeus พบ
1 ชนิด คือ P. japonicus ;
สกุลย่อย Fenneropenaeus
พบ 4 ชนิด คือ P. indicus,
P. merguiensis, P. penicillatus, P. silasi ;
และสกุลย่อย Penaeus
พบ 2 ชนิด คือ P. monodon,
P. semisulcatus. (Chaitiamvong และ
Supongpan, 1992 ; Lumubol, 1974)
ซึ่งก่อนหน้านี้
นงนุช (2532)
รายงานไว้ 8 ชนิด
ในจำนวนนี้มี 8
ชนิดที่พบบริเวณอ่าวไทยตอนบน
สำหรับ 2 ชนิด
ที่ไม่พบบริเวณนี้คือ
P. canaliculatus และ P. penicillatus
ชนิดหลังนี้สาเหตุที่ไม่พบเนื่องจาก
มีถิ่นกำเนิดนอกน่านน้ำของประเทศไทย
แต่ชาวประมงไปรับซื้อมา
จากรายงานของ Lumubol
(1974) ก็ไม่พบ P. longistylus
ในบริเวณนี้เนื่องจากอาศัยในบริเวณน้ำลึกเท่านั้น
(Chaitiamvong, 1980)
ในบรรดากุ้งทั้ง
9 ชนิดนี้พบว่า
เป็นกลุ่มของกุ้งแชบ๊วย
ซึ่งอยู่ในสกุลย่อย
Fenneropenaeus จำนวน 3
ชนิด คือ P. (F.) merguiensis,
P. (F.) silasi P. และ (F.)
penicillatus โดย 2
ชนิดแรกพบได้ทั่ว
ๆ
ไปในนากุ้งและในทะเลฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน
ชนิดหลังพบเฉพาะฝั่งทะเลอันดามัน
และยังพบว่า P. (F.)
silasi
มีลักษณะคล้ายกับ
P. indicus มาก
สามารถแยกชนิดโดย
P. indicus
จะมีกลุ่มขนที่
maxilliped คู่ที่ 3
และขอบตรงกลางของอวัยวะเพศเมีย
(lip of seminal receptacle)
มีลักษณะย่นเป็นริ้ว
ส่วน P. (F.) silasi
จะไม่มีกลุ่มขนที่
maxilliped คู่ที่ 3
ขอบตรงกลางของอวัยวะเพศเมียเรียบไม่มีรอยย่น
(สมนึก, 2533)
กุ้งในสกุล Penaeus
สามารถจำแนกชนิดได้โดยใช้ลักษณะของร่องและสันที่ปรากฏบนคาราเปส
การมีหรือไม่มีแขนงอันนอก
(exopodite)
ตำแหน่งของเหงือก
และมาสติโกแบรงเคีย
(mastigobranchiae, epipodite)
ที่ปรากฏบริเวณขาเดินแต่ละคู่
ลักษณะของแขนงอันใน
(endopodite) ของแมกซิลู
(maxillue)
รวมทั้งลักษณะของหาง
(Alcock, 1905)
สำหรับกุ้งในสกุลย่อย
Fenneropenaeus ทั้ง 3 ชนิด
คือ P. merguiensis, P. indicus
และ P. penicillatus
สามารถแยกออกจากกันได้โดยใช้
ลักษณะรูปร่างของกรีในกุ้งที่โต
เต็มวัย
ความยาวของร่องข้างกรี
ความยาวของแกสโตรออบิทอลคาไรนา
(gastro-orbital carina)
รวมทั้งลักษณะของโปรโปดัส
(propodus)
และอัตราส่วนความยาวของแดกทิลัส
(dactylus) ต่อโปรโปดัส
ของกุ้งในแต่ละชนิด
(Chong และ Sasekumer, 1982)
ส่วน Miquel (1983a) พบว่า
สามารถแยกกุ้งในสกุลย่อยนี้
จำนวน 5 ชนิด คือ P.
chinesis, P. indicus, P. merguiensis, P.
pencillatus และ P. silasi
ออกจากกันได้โดยใช้จำนวนปล้องของ
maxillular palp,
ความยาวของขาเดินคู่ที่
3
ความยาวของสันหลังกรี
(post rostral carina)
ลักษณะของกรี
ความยาวของ
gastro-orbital carina
และลักษณะของพีแทสมาในกุ้งเพศผู้
ส่วนลักษณะของลวดลาย
ไม่สามารถนำมาใช้ในการจำแนกกุ้งในสกุลย่อยนี้ได้
แตกต่างจากกุ้งในสกุลย่อย
Melicertus คือ P. penicillatus
และสกุลย่อย
Marsupenaeus คือ P. japonicus
ซึ่งสามารถแยกออกจากกันได้ชัดเจนโดยใช้ลักษณะของลวดลายสีที่ปรากฏบนเปลือกคลุมหัว
และปล้องท้องปล้องสุดท้ายของกุ้งทั้ง
2
ชนิดในขณะที่กุ้งยังอยู่ในสภาพสด
(Miquel, 1983b)
การศึกษาความหลากหลายของชนิดกุ้งสกุล
Penaeus
จากท่าเทียบเรือ
ท่าขึ้นปลา
และตลาดสด
ในบริเวณอ่าวไทยตอนบน
11 จังหวัด คือ
ประจวบคีรีขันธ์
เพชรบุรี
สมุทรสาคร
สมุทรสงคราม
สมุทรปราการ
กรุงเทพมหานคร
ฉะเชิงเทรา
ชลบุรี ระยอง
จันทบุรี
และตราด
จากตัวอย่างกุ้งจำนวน
456 ตัวอย่าง
นำมาศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยา
โดยใช้คู่มือของ
Kubo, 1949 : Dall, 1957 และ Grey
และคณะ, 1983
ศึกษาลักษณะที่ใช้ในการวัดความยาว
(มม.) (Morphometric Measurment)
และนับจำนวนหนาม
(อัน) (Meristic character) ตาม
Chuensri, 1967 : Fermer, 1986 และ
Chong และ Susekumar, 1982
สกัดเนื้อเยื่อเพื่อหา
DNA
และวิเคราะห์รูปแบบของ
DNA ตาม Klinbunga และคณะ,
1993 และ Vuthisuthimethavi, 1999
นำข้อมูลมาเทียบเคียงเพื่อจัดทำคู่มือวิเคราะห์ชนิดใหม่
การศึกษาในเบื้องต้นสามารถย้อนบรรยายลักษณะทางสัณฐานเทียบเคียงเพื่อจัดทำคู่มือวิเคราะห์ชนิดใหม่
การศึกษาในเบื้องต้นสามารถย้อนบรรยายลักษณะทางสัณฐานวิทยาและลักษณะการวัดนับ
พบว่ากุ้งสกุล
Penaeus
สามารถจำแนกได้ 8
ชนิด คือ P. monodon, P.
semisulcatus, P. indicus, P. merguiensis, P.
japonicus, P. canaliculatus, P. longistylus
และ P. latisulcatus
การจำแนกโดยใช้ลักษณะทางสัณฐานวิทยาได้แสดงไว้ในไดอะแกรม
(A)
ส่วนการศึกษาลักษณะการวัดนับได้แสดงไว้ในไดอะแกรม
(B)
ในส่วนของลักษณะการวัดนับข้อมูลที่ได้แสดงไว้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น
ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุง
รวมถึงการใช้วิธีการทางสถิติเข้ามาช่วยเพื่อให้ข้อมูลที่ได้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในที่นี้ไม่ได้กล่าวถึงผลที่ได้จากการศึกษารูปแบบของ
DNA
เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่สมบูรณ์จึงขอแสดงผลเฉพาะทางสัณฐานวิทยาและลักษณะการวัดนับเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
นงนุช
ลีลาปิยะนาถ. 2532.
อนุกรมวิธานของกุ้งพีนีออยในประเทศไทย.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.
มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์,
กรุงเทพฯ.
ประจวบ หลำอุบล.
2527.
เอกสารคำสอนวิชากุ้ง.
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,
กรุงเทพฯ. 237 น.
สมนึก
ไช้เทียมวงศ์. 2533.
ชนิดของกุ้งทะเลกลุ่มพีนิดจากแหล่งหญ้าทะเลฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย.
น. 117 - 122. ใน
รายงานการสัมมนาวิชาการประจำปี
2533.
สถาบันประมงน้ำจืดแห่งชาติ.
กรมประมง,
กรุงเทพฯ.
สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม.
2539.
ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย.
การประสานการจัดการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม,
กรุงเทพฯ. 39 น.
สำนักงานสถิติแห่งชาติ.
2538.
สำมะโนประมงทะเล
พ.ศ. 2538 เขตประมง 1 (เขตตะวันออกของอ่าวไทย
ตราด จันทบุรี
ระยอง).
สำนักนายกรัฐมนตรี,
กรุงเทพฯ. 213 น.
Alcock, A. 1905. A Revision of the
"Genus" Penaeus with Diagnosed of
Some New Species and Varieties. An. Mag.
Nat. Hist. Ser. 7 (16) : 508-532.
Chaitiamvong, S. 1980. The Biology of the
Penaeid Shrimp of Thailand. Report of the
Workshops on the Biology and Resources of
Penaeid Shrimp in the South China Sea Area
Part I (Simpson, A.C.). South China Sea
Fisheries Programe, Manila. 29 p.
Chaitiamvong, S. and M. Supongpan. 1992. A
Guide to Penaeoid Shrimps Found in Thai
Waters. Australian Institute of Marine
Science Townsville, Australia. 77 p.
Chong, V.C. and A. Sasekumer. 1982. On the
Identification of three Morphospecies of
Prawns. Penaeus merguensis De Man, Penaeus
indicus H. Milne Edward and Penaeus
penicillatus Alcok (Decapoda, Penaeidea)
Crustaceana 42 (2) : 127-141.
Chuensri, C. 1967. A Morphometric and Metric
Study of Postlarval Pink Shrimp, Penaeus
duoraum Burkenroad, White Shrimp, P.
setiferus (Linnaeus), and Brown Shrimp, P.
aztecus Ives. University of Miami, Florida.
131 p.
Dall, W. 1957. A Revision of the Australian
Species of Penaeinae (Crustacea Decapoda :
Penaeidae). Aust. J. Mar. Freshw. Res. 8 (2)
: 186-231.
Farmer, A. D. H. 1986. Morphometric
Relationship of Commercial Important Species
of Penaeid Shrimp From the Arabian Gulf.
Kuwait Bull. Mar. Sci. 7 : 1-21.
|