สถานการณ์ตลาดกุ้งโลก
21/10/2546
9:49:32, by
วารสารข่าวกุ้ง
โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์
สถานการณ์ตลาดกุ้งโลก
เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วกุ้งกุลาดำไทยประสบปัญหาสารตกค้าง
ทำให้เกษตรกรชะงักการลงลูกกุ้ง
ห้องเย็นขายกุ้งไม่ได้
เก็บสต๊อกไว้เป็นจำนวนมาก
คนหันมาเลี้ยงกุ้งขาวเพิ่มมากขึ้น
จากสัดส่วนกุ้งกุลาดำกับกุ้งขาวประมาณ
80:20 ในปีที่แล้ว
กลายเป็น 50 :50
ในปีนี้
และดูเหมือนว่าสัดส่วนกุ้งขาวจะมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งปีนี้ยังเกิดภาวะราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี
ในภาพรวมราคาสำหรับกุ้งสดแช่แข็งตกลงประมาณ
10%-15%
และมีแนวโน้วจะลดลงไปอีกในเดือนตุลาคมตามผลผลิตของกุ้งจีนและของไทยที่จะออกมามากขึ้นตามฤดูกาล
ตลาดสหรัฐอเมริกา
การบริโภคกุ้งเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากราคากุ้งลดลง
ประกอบกับหมวดเนื้อราคาสูงขึ้น
100% เช่น เนื้อวัว
ขึ้นไปถึงปอนด์ละ
6-7 เหรียญสหรัฐฯ
จากปีที่แล้วราคาปอนด์ละ
3-4 เหรียญสหรัฐฯ
ตัวเลขการนำเข้าของสหรัฐฯมีการนำเข้าเพิ่มมากขึ้นจากทุกประเทศทั้งอินเดีย
เวียดนาม จีน
เอกวาดอร์
บลาซิล
รวมถึงไทย
สำหรับไทยตัวเลขนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นของกุ้งแปรรูป
ส่วนกุ้งสดลดลง
ตลาดญี่ปุ่น ปีนี้ตัวเลขของไทยที่ส่งเข้าไปลดลง
ตกไปอยู่อันดับ 5
โดยมีกุ้งจีนเข้ามาแทนในอันดับ
4
แต่ไทยยังมีความหวังอยู่
เนื่องจากญี่ปุ่นให้ความปลอดภัยกับความสำคัญของอาหาร
(Food safety)
และการตรวจสอบย้อนกลับ
(Traceability)
เชื่อว่าถ้าเราพยายามควบคุมการใช้สารตกค้างพร้อมกับสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
มั่นใจว่าตลาดญี่ปุ่นของไทยจะกลับมาอีกมาก
"มีข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
สาขาผมที่ญี่ปุ่นแจ้งมาว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่สาขาหนึ่งตรวจเจอสารตกค้างในกุ้งขาวจากจีนที่ขายอยู่ในชั้นวาง
เค้าสั่งดึงลงมาจากชั้นทั้งหมด
ก็ทำให้ซุปเปอร์มาร์เก็ตอื่นรีบตรวจของที่มาจากจีนของตัวเอง
และมีแนวโน้มว่าจะดึงของออกจากชั้นเยอะมาก
อันนี้เป็นข่าวดีสำหรับพวกเรา
แต่ว่าจุดที่น่ากลัวคือเค้าใช้กับประเทศอื่นได้เราเองก็มีสิทธิโดน
ถ้าเค้าตรวจเจอสารในกุ้งบ้านเรา
เราก็ลงจากชั้นวางได้เหมือนกัน"
"การเลี้ยงกุ้งใหญ่คือคำตอบสำคัญ
ปัจจุบันเค้าซื้อกุ้งใหญ่
จากอินเดีย
และเวียดนามเป็นหลัก
แต่อินเดียมีปัญหาเรื่องกลิ่นโคลนมาก
เวียดนามก็มีปัญหาเยอะตรวจสอบย้อนกลับได้แต่เป็นของปลอม
กลิ่นโคลนก็เยอะ
ถ้าเราสามารถทำให้เค้าเห็นว่าเราตรวจสอบย้อนกลับได้ของจริง
แล้วคุณภาพเราดีไม่สารตกค้าง
ผมคิดว่าตลาดญี่ปุ่นกุ้งใหญ่เป็นอะไรที่สบายมาก"
ตลาดยุโรป
ตัวเลขเลวร้ายกว่าที่ผ่านมามาก
เนื่องจากปัญหาจีเอฟพีดังที่กล่าวอยู่แล้ว
ปัญหาสำคัญอีกข้อคือ
การตรวจสารตกค้าง
ซึ่งถึงแม้อียูจะไม่ตรวจ
100 % อยู่
และมาตรฐานการตรวจในแต่ละท่าเรือของอียูยังไม่แน่นอน
ทั้งมาตรฐานเครื่องมือก็ไม่ชัดเจน
ขณะเดียวกันมีการตรวจสารตกค้างในส่วนประกอบที่นำไปประกอบในการทำกุ้ง
เช่น แป้ง ด้วย
ทำให้เกิดความลังเลทั้งผู้นำเข้าและผู้ส่งออก
และในกรณีที่เกิดปัญหาอียูจะเผาสินค้าโดยไม่ส่งกลับ
ตัวเลขส่งออกปีที่แล้วเหลือแค่
6,000ตัน
ปีนี้ครึ่งปีแรกเหลือประมาณ
2 พันตัน
ตลาดจีน จากเดิมที่เป็นคู่ค้า
ตอนนี้เป็นคู่แข่งเต็มตัวในแง่ที่เป็นคู่ค้า
จีนมีการตั้งมาตรฐานการตรวจสอบสินค้านำเข้าเทียบเท่ากับอียู
ในแง่ของการเป็นคู่แข่ง
กุ้งจีนได้พัฒนาการเลี้ยงและการพัฒนาห้องเย็นเร็วมาก
ปีที่แล้วเทียบกับปีนี้เพิ่มขึ้นมาเกือบร้อยโรงงานตลอดแนวชายฝั่งจาก
เซี่ยงไฮ้ (เกือบถึงตอนเหนือ)
ลงมาตลอดทางถึงใต้
และโรงงานส่วนใหญ่พยายามปรับมาตรฐานตัวเองให้ได้มาตรฐานอียู
เนื่องจากโรงงานผู้ส่งออกของจีนต้องได้
รับการตรวจสอบจากกรมประมงซึ่งใช้มาตรฐานเดียวกับอียูก่อนจึงจะส่งออกได้
และในขณะนี้จีนเสนอราคาต่ำมากและต่ำลงเป็นลำดับ
ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่น่ากลัว
เพราะของจีนเข้าญี่ปุ่นได้น้อยลง
และไม่กล้าเข้าอียู
ก็จะเทไปที่สหรัฐฯ
ซึ่งจะทำให้ราคาตก
ขณะนี้ผู้ค้าของสหรัฐฯ
รอดูราคาเดือนตุลาคมของจีน
เนื่องจากมีข่าวว่ากุ้งที่จะออกในเดือนตุลาคมเป็นกุ้งชุดใหญ่
ราคาจะตกลงพอควร
ผู้ซื้อทั้งหมดจึงชะลอการสั่งซื้อ
ตลาดแคนาดา
เป็นตลาดที่มีโอกาสมาก
ตัวเลขส่งออกของไทยไปยังของแคนาดาเพิ่มขึ้น
แต่จุดที่น่ากลัวคือ
แคนาดามีการตรวจไนโตรฟูแรน
คุณพจน์มีการแนะนำว่าไทยต้องผลิตกุ้งให้ได้มาตรฐานโดยเฉพาะในเรื่องสารตกค้าง
เพราะขณะนี้ประตูผู้นำเข้าหลักของไทยมีแนวโน้มว่าจะนำมาตรการเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารมาใช้กันมากขึ้นซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกของไทยแน่นอน
"
เงื่อนไขผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำเราต้องทำให้ได้ฟู้ดเซฟตี้
(ความปลอดภัยของอาหาร)
ผมอยากจะเรียนว่าข้อนี้ชัดเจนนะครับ
สารตกค้างจะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะกำหนดคำตอบว่าอุตสาหกรรมกุ้งบ้านเราจะไปได้หรือไปไม่ได้
แม้แต่ประเทศคู่แข่งของเราวันนี้
ถ้าเค้าแก้ปัญหาสารตกค้างไม่ได้
เค้าก็ต้องออกจากเวที
ตลาดสหรัฐฯ
สังเกตว่าเค้าบอกเค้าไม่แคร์
เค้าไม่ถามเรื่องไนโตรฯ
ซักคำเลย 2
ปีที่ผ่านมา
วันดีคืนดีก็บอกว่าเค้าสั่งแอลซีเอ็มมาใช้แล้ว
ถามว่าใช้อะไร
บอกใช้ตรวจคลอแรมฟินิคอล
แล้วเค้าก็ลดสัดส่วนการตรวจคลอแรมฯ
ลงมาตรวจเท่ากับอียู
คำถามก็คือว่าไม่มีเหตุผลที่จะเอาแอลซีเอ็มมาตรวจคลอแรมฯ
คาดว่าเค้าคงจะเอามาตรวจไรโตรฯในเร็ววันนี้
ผมเชื่อว่าที่เค้ายังไม่ส่งเรื่องไนโตรฯ
มา
เพราะว่าที่ผ่านมาคงแก้ปัญหาภายในตัวเองมากกว่า
เพราะเค้ามีสินค้าของตัวเองมากพอควรที่มีไนโตรฯ
อยู่
กุ้งไทยเราแก้ปัญหาเบ็ดเสร็จไม่ได้
จริงๆยังเจอไนโตรฯ
ในสินค้าส่งออก
แต่ว่าสหรัฐฯ
ยังรับได้
แต่ถ้าสหรัฐฯตรวจไนโตรฯ
ขึ้นมาแล้วก็ตรวจในระดับเดียวกับอียู
นี้เป็นคำถามใหญ่ของเราเลยว่าขณะที่เราจะทำอย่างไรดี
ญี่ปุ่น
เรื่องฟู้ดเซฟตี้กับการตรวจสอบย้อนกลับ
(Traceability)
แรงขึ้นเรื่อยๆ
ปีหน้าเชื่อว่าถ้ามองให้ดีๆ
จีนก็ใช้มาตรการฟู้ดเซฟตี้
ขณะที่เราก็จะประกาศใช้วันที่
1 ม.ค. เหมือนกัน
แล้วคนอื่นจะไม่ประกาศใช้หรือครับ
เพราะมันเป็นเหมือนเกราะกำบังตัวเองเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเงื่อนไขนี้นะครับสารตกค้างต้องเอาออกให้ได้
คุณภาพผลิตภัณฑ์ความสดเป็นสิ่งจำเป็น"
ในขณะเดียวกันกุ้งขาวซึ่งมีแนวโน้มว่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่ากุ้งกุลาดำนั้น
สิ่งที่ควรทำต่อไปคือการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาด
และพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพราะปัจจุบันผลิตภัณฑ์กุ้งขาวยังอ้างอิงรูปแบบจากกุ้งกุลาดำในการทำตลาดอยู่
"สิ่งที่เราควรทำคือการขยายรูปแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมคล้องจองกับแต่ละตลาด
หรือพยายามนำหน้าประเทศอื่นในเรื่องที่เราทำได้เค้าทำไม่ได้
ยกตัวอย่างกุ้งขาวแวนนาไม
เราได้รับการติดต่อมาพอสมควร
จากสหรัฐฯ
และญี่ปุ่น
มาทำกุ้งติดหัว
โอเค
เงื่อนไขดีพร้อมส่ง
แต่ว่ามีสารตกค้างไม่ได้
หัวดำไม่ได้แล้วเค้าก็กลัวกลิ่นโคลน
ถ้าเรามาพัฒนาตลาดกุ้งขาว
เราต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวกุ้งขาว
ทุกวันนี้กุ้งขาวผลิตภัณฑ์หลักคือกุ้งหักหัวแช่แข็งเป็นก้อน
แต่เราพยายามที่จะฉีกแนวมันออกมา
ออกมาทำเป็นต้ม
ซึ่งจริงๆตัวนี้มันเป็นผลิตภัณฑ์ของกุ้งกุลาดำที่พัฒนามา
18-20 ปี
จนกระทั่งมาเป็นสินค้าของกุลาดำ
รสชาติ สีสัน
ความกรอบ
มันเหมาะกับกุ้งกุลาดำ
เราก็พยายามที่จะหาผลิตภัณฑ์ที่เจาะตลาดได้และเหมาะกับกุ้งขาวเพื่อให้เราพัฒาขึ้นมานำหน้าชาวบ้านเค้าประเทศอื่นทำไม่ได้
เรายืมผลิตภัณฑ์กุลาดำมาใช้
แต่กุ้งขาวสู้กุ้งกุลาดำไม่ได้
เพราะ 1. สีไม่สวย
2. หางไม่สวย 3.
รสชาติความกรอบ
แต่ราคามันถูกกว่ากุกุลาดำมาก
เราไปเสนอ
ลูกค้าเห็นถูกกว่าก็สั่งไปขายกัน
แต่คำตอบสุดท้ายคือผู้บริโภค
ถ้าผู้บริโภคทานแล้วเค้าไม่ชอบ...อันนี้จะเป็นคำถามปวดหัวของเราต่อไปว่า
กุ้งขาวเราจะพัฒนาต่อไปอย่างไร"
3-4
ซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆในสหรัฐฯ
ยังยืดหยัดกับกุลาดำไม่ยอมเปลี่ยนเป็นกุ้งขาว
แต่ไม่แน่นะ
ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์กุ้งขาวที่จะออกมาเป็นอย่างไร
อยู่กับอนาคตกุลาดำบ้านเราจะมีหรือไม่มี
หรือซื้อประเทศอื่นไม่ได้
ก็กลับมาดูกุ้งขาวบ้านเรา
แต่อย่าเพิ่งตกใจนะครับ
ผมไม่ได้บอกว่ากุ้งขาวไม่มีอนาคตนะครับ
แต่เราต้องหาผลิตภัณฑ์กุ้งขาวขึ้นมาให้ได้
แล้วก็พัฒนารูปแบบของการหีบห่อ
พัฒนาตลาดด้านลึก
เพราะว่าถ้าเราขายแต่ผู้นำเข้าเป็นหลัก
ผมเชื่อว่ากุ้งไทยเราเหนื่อย
เพราะทุกวันนี้เป็นตลาดของผู้นำเข้า
ผู้นำเข้าเลือกได้ที่จะซื้อจากประเทศที่ถูกกว่า
ดีกว่า"
ในตอนท้าย
คุณพจน์ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมกุ้งไทยขณะนี้ว่า"
ภาครัฐและเอกชนต้องกำหนดให้แน่นอนว่าจะเป็นกุลาดำหรือกุ้งขาว
ผมว่าภาพรวมเรามีปัญหา
ต้องหาทางกำหนดให้ชัดเจนว่าเราจะไปในแนวทางไหนกัน
ผมเชื่อว่าภาครัฐพยายามแก้ปัญหา
แต่ยอมรับว่ามีความสับสนหรือ
conflict
ผมเคยคุยกับผู้ส่งออก
บอกว่าท่านอดิศัย
ท่านเนวิน
ท่านสุดารัตน์
แก้ตรงนี้ไปได้เยอะ
เพราะฉะนั้นผมว่ากำหนดแผนให้ชัดเจนดีกว่าว่าจะไปขาวหรือไปดำ
ถ้าคิดว่ากุ้งขาวมีอนาคตชัดเจน
ก็ได้จะได้สนับสนุนเต็มที่
เรื่องพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
กรมประมงตัดงบกันมาดูแลเลย
เรื่องโรคระบาด
เรื่องอื่นๆก็เหมือนกัน
กำหนดเลยว่าเราจะเลี้ยงกันเท่าไหร่
พื้นที่ไหนเลี้ยงกุ้งกุลาดำ
พื้นที่ไหนเลี้ยงกุ้งขาว
ในอนาคตกุลาดำทุนสูงกว่า
แต่ถ้าเรามองแล้วเราจำเป็นต้องเอากุลาดำไว้เพราะเราเลี้ยงมาจนเป็นที่
1 ในโลก
แล้วไม่มีประเทศไหนในโลกที่มีไซส์นี้
ถ้าจำเป็นต้องเอาไว้เพื่อเป็นตัวโชว์ตลาด
ภาครัฐต้องหาเงื่อนไขหรือหาทางมาช่วยเหลือ
แต่ถ้าเทมาเลี้ยงกุ้งขาวกันหมด
สมมุติ 4 แสนตัน
แล้วจะเอาไปขายที่ไหนกันหมด
สุดท้ายกลายเป็นกุ้งขาวทั้งโลก
แล้วจะไปขายที่ไหน
แล้วเราก็ควรศึกษาจุดด้อยระหว่างกุลากับขาว
รัฐจะช่วยอะไรได้บ้าง
ผมยืนยันว่าถ้าเลี้ยงขาวหมดเราจะเหนื่อยกว่านี้
กุ้งดำเลี้ยงให้ไซส์อยู่ประมาณ
40-60 ตัวจะปลอดภัย
ไม่มีใครมาแข่งกับเราได้"
|