คำนำ
ปัจจุบันทั่วโลกกำลังตื่นตัวบริโภคผลิตภัณฑ์
ที่ผลิตโดยวิธีธรรมชาติ
เช่น
การปลูกพืช
และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบอินทรีย์
(Organic farming)
เนื่องจากพบ
ว่าการผลิตโดยวิธีเคมี
นอกจากอาจจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคแล้ว
ยังทำให้ระบบนิเวศ
และสิ่งแวดล้อมขาดความสมดุล
มีผลให้อาชีพเพาะปลูกหรือเพาะเลี้ยง
มีผลกระทบและไม่ยั่งยืนการเลี้ยงกุ้งระบบอินทรีย์ยังช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
คือ
สิ่งมีชีวิตในดินและน้ำมีความหลากหลายและสมดุลการปลูกพืชด้วยระบบอินทรีย์ได้ดำเนิน
การมาเป็นเวลานานแล้ว
แต่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบอินทรีย์เพิ่งเริ่มดำเนินการได้ไม่นานนัก และกำลังได้รับความมั่นใจของตลาดผู้บริโภคเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ด้วยศักย
ภาพการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลของประเทศไทยที่สามารถส่งออกเป็นอันดับ
1
ของโลกตั้งแต่ปี
2534
จนถึงปัจจุบันในท่ามกลางปัญหาโรคไวรัส
ยาตกค้างกุ้งโตช้า
ผลผลิตต่อ
พื้นที่ต่ำลง
ผลผลิตลดลง
ราคาตลาดต่ำลง
ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นแต่รัฐ
ผู้ประกอบการของประเทศไทยก็สามารถแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่งจึงเป็นการควรแก่เวลาแล้วที่ผู้เลี้ยง
กุ้งส่วนหนึ่งจะปรับมาดำเนินการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลด้วยระบบอินทรีย์ ทั้งนี้เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลหลากหลายวิธีซึ่งมีฟาร์มสามารถ
ปรับเข้าระบบอินทรีย์ได้ไม่น้อยและรัฐให้การสนับสนุน นอกจากนั้นแล้วผลิตภัณฑ์กุ้งเลี้ยงโดยระบบอินทรีย์ยังเป็นที่ต้องการของตลาดผู้บริโภคระดับรายได้สูงอยู่ในขณะนี้
อีกด้วย
บทความนี้ได้รวบรวมและประยุกต์
จากเอกสารการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำระบบอินทรีย์ต่าง
ๆ เช่น Standards For
Organic Aquacultre (TUN,
Vottunarstofa Iceland) International
Federation of Orgainc Agriculture
Movemants (IFOAM) (United Kingdom)
Naturlamd Standards For Oranic
Aquaculture (German) และ
Bioagricert (ltaly)
สำหรับระบบการเลี้ยงกุ้งอินทรีย์ของ
Bioagricert
ได้เริ่มมาดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรในประเทศไทยได้เพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ
และรับรองผลิตภัณฑ์ส่งไปจำหน่ายในตลาดโลกแล้ว
พร้อมกันนี้ได้ประยุกต์วิธีการให้เป็นรูปแบบของประเทศไทยและพยายามสร้างความเชื่อมโยงใน
ระบบรับรองกับองค์กรต่างประเทศ
เพื่อให้ระบบรับรองเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
และเป็นที่ยอมรับของตลาดผู้บริโภคในต่างประเทศ
แนวทางและข้อกำหนดการเลี้ยงกุ้งทะเลระบบอินทรีย์
2.1
การเตรียมตัวของเจ้าของฟาร์มและเจ้าหน้าที่ฟาร์ม
เจ้าของฟาร์มที่ตั้งใจจะปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงกุ้งระบบอินทรีย์อย่างจริงจัง
และจัดทำคู่มือการเลี้ยงของฟาร์มตัวเองให้ชัดเจน
เพื่อจะได้ดำเนินการเลี้ยงได้
มีประสิทธิภาพ
พร้อมทั้งต้องให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเข้าใจระบบการเลี้ยงกุ้งอินทรีย์อย่างถ่องแท้
เพื่อจะไม่ให้มีปัญหาหรือประสบอุปสรรคในระหว่างการเลี้ยงโดยสามารถสรุปหลักการได้ดังนี้
1.
เจ้าของต้องสนใจว่าตลาดกุ้งอินทรีย์อยู่ที่ไหน
มีความต้องการปริมาณมากน้อยเพียงใด
2.
เจ้าของฟาร์มต้องศึกษาระบบการเลี้ยงกุ้งอินทรีย์ให้เข้าใจทุกขั้นตอน
3.
เจ้าของฟาร์มต้องมีความตั้งใจเลี้ยงกุ้งระบบอินทรีย์
และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
4.
เจ้าหน้าที่ฟาร์มทุกนายต้องศึกษาและเข้ารับการฝึกอบรมกุ้งระบบอินทรีย์โดยให้เข้าใจทุกขั้นตอนอย่างละเอียด
5.
ต้องจัดทำคู่มือการเลี้ยงกุ้งอินทรีย์ประจำฟาร์ม
6.
ต้องดำเนินการจัดทำสมุดบันทึกการเลี้ยงโดยให้สอดคล้องกับคู่มือการเลี้ยง
2.2
การเลือกสถานที่และการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม
การเลือกสถานที่เลี้ยงนับว่าเป็นปัจจัยแรกที่สำคัญในการประกอบอาชีพการเลี้ยงกุ้งทะเล
แต่การเลือกสถานที่เลี้ยงกุ้งอินทรีย์
จำเป็นต้องรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงสภาพเดิม
ไว้มากที่สุด
แหล่งที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงกุ้งอินทรีย์ควรอยู่ใกล้ชายทะเลรักษาสภาพป่าชายเลนบริเวณฟาร์มไว้ให้คงสภาพสมบูรณ์
หรือต้องดำเนินการปลูกป่าชายเลน
เพิ่มเติมในบริเวณที่เหมาสม
เพื่อเป็นการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามธรรมชาติซึ่งสามารถสรุปข้อกำหนดได้ดังนี้
1)
เจ้าของฟาร์มควรทราบประวัติการใช้ประโยชน์ของพื้นที่เพื่อประเมินสภาวะความเสียงเกี่ยวกับสารตกค้างจากวัตถุอันตรายทางการเกษตรและมลภาวะต่าง
ๆ
2)
สถานที่เลี้ยงควรอยู่ใกล้ชายทะเลมีน้ำทะเลขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ
มีความเค็ม
และคุณภาพของน้ำเหมาะสมต่อการเลี้ยงกุ้งทะเล
3)
มีสภาพดินเหมาะสมต่อการเลี้ยงกุ้งทะเล
คือ
ดินเหนียว
หรือดินปนทราย
ควรหลีกเลี่ยงการขุดบ่อเลี้ยงในสภาพดินกรดหรือดินที่มีอินทรีย์สารต่าง
ๆ สูง
4)
ไม่อยู่ในอิทธิพลของแหล่งกำเนิดมลพิษ
5)
ต้องรักษาป่าชายเลนหรือดำเนินการปลูกป่าชายเลนบริเวณฟาร์มเลี้ยง
6)
ต้องจดทะเบียน/ขึ้นทะเบียน/เป็นสมาชิกผู้เลี้ยงกุ้งกับกรมประมง
2.3
การจัดการทั่วไปและการเตรียมบ่อ
การจัดการบ่อเลี้ยงที่ดีและการเตรียมบ่อที่ดี
จะป้องกันปัญหาดินเสีย
น้ำเสีย
การระบาดของโรคไม่ลดความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำชายฝั่งโดยรวมแล้วคือ
สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ซึ่งเน้นไม่ใช้ยาและสารเคมี
ข้อกำหนดมีดังนี้
1)
ควรมีการวางผังฟาร์มเลี้ยงไว้ถูกต้องตามหลักวิชาการโดยมีบ่อพักน้ำไม่ต่ำกว่า
30%
โดยสามารถเก็บน้ำและบำบัดได้
100%
ในขณะที่ถ่ายน้ำจับกุ้ง
2)
ควรเลี้ยงระบบปิด
หรือถ่ายน้ำหมุนเวียนภายในฟาร์ม
แต่สามารถถ่ายน้ำได้บ้างเล็กน้อย
ประมาณไม่เกิด
5% ในช่วงท้าย
ๆ
ของการเลี้ยง
3)
ควรเตรียมดินก้นบ่อให้มีความพร้อมในการเลี้ยงกุ้ง
เช่น การไถพรวนดินไม่ให้มีตะกอนดินเน่าเสียหลงเหลืออยู่
บางครั้งอาจจะต้องขนดินเน่าเสียบางส่วนไปเก็บ
รักษาหรือปรับปรุงคุณภาพในบริเวณอื่น
4)
สามารถใช้ปุ๋ยอินทรีย์
เช่น
ปุ๋ยหินฟอสเฟต
และโปแตสเซียม
ปูนขาว
ปูเผา
ปูนมาร์ล
และซีไอไลท ์
ในการเตรียมบ่อ
เพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติ
และปรับปรุง
คุณภาพดินได้
5)
ไม่อนุญาตให้ใช้ปุ๋ยเทศบาลหรือปุ๋ยหมัก
จากขยะในเมือง
6)
ไม่อนุญาตให้ใช้จุลินทรีย์และผลผลิตจากจุลินทรีย์ที่มีการดัดแปลงทางพันธุกรรม
7)
เครื่องเพิ่มอากาศควรติดตั้งทั้งผิวน้ำ
และหน้าดิน
เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของกุ้งเลี้ยงและอาหารธรรมชาติหน้าดิน
8)
เครื่องเพิ่มอากาศผิวน้ำควรติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อลดการกัดเซาะของคันบ่อ
9)
ควรมีตะแกรงและถุงกรองกันศัตรูกุ้งเข้าบ่อเลี้ยงแทนการใช้เคมี
10)
การรักษาคุณภาพน้ำในบ่อ
โดยการปล่อยกุ้งและกำหนดอัตราการให้อาหารไม่เกินศักยภาพรองรับของระบบเลี้ยง
11)
การดำเนินการเลี้ยงตามวิธีการจัดการคุณภาพกุ้งที่ดี
12)
ห้ามใช้สารเคมีทุกชนิดเพื่อฆ่าหญ้าภายในฟาร์ม
13)
ที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ฟาร์ม
สำนักงานโรงเก็บอาหารและพัสดุควรจัดเรียบร้อยและเก็บอุปกรณ์เป็นที่
14)
ห้องสุขาควรสร้างให้ถูกสุขอนามัยด้วยระบบบำบัดในตัว
(ถัง Z)
และอยู่ห่างจากบ่อเลี้ยง
2.4
การคัดเลือกและการปล่อยลูกกุ้ง
การคัดเลือกลูกกุ้งเป็นปัจจัยที่จะบ่งชี้ถึงความสำเร็จในการเลี้ยงได้เป็นอย่างดี
ลูกกุ้งที่มีคุณภาพดีจะเลี้ยงง่าย
โตเร็ว
และมีอัตราการรอดตายสูงความหนาแน่นของการ
ปล่อยลูกกุ้ง
ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบการจัดการเลี้ยงถ้าปล่อยลูกกุ้งหน้าแน่นก็จำเป็นต้องให้อาหารมากโอกาสที่น้ำในบ่อเลี้ยงจะเสียได้ง่าย
กุ้งเครียดและ
มีโอกาสเป็นโรคในที่สุด
นอกจากนั้นแล้วน้ำทิ้งจะมีปริมาณสารอินทรีย์ความเข้มข้นสูงกว่าที่ควรจะเป็น
สำหรับข้อกำหนดเกี่ยวกับการคัดเลือก
และการปล่อยลูกกุ้งมีดังนี้
1)
เลือกซื้อกุ้งจากโรงเพาะฟักที่ใช้แม่กุ้งจากทะเลลึกและเลี้ยงด้วยวิธีการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะที่ได้รับการรับรอง
GAP หรือ CoC
จากกรมประมง
2)
เลือกซื้อลูกกุ้งที่แข็งแรง
โตไว
โตสม่ำเสมอ
ผ่านการทดสอบแบบ
วนัชสุนทร (stress
test)
3)
เลือกซื้อกุ้งที่ไม่ได้มาจากพ่อแม่ตัดแต่งทางพันธุกรรม
(GMO)
4)
ตั้งแต่ปี 2548
เป็นต้นไปควรซื้อลูกกุ้งจากโรงเพาะฟักลูกกุ้งอินทรีย์
5)
ควรปล่อยลูกกุ้ง
PL 15
จำนวนไม่เกิน
32 ตัว/ตารางเมตร
หรือประมาณ
50,000 ตัว/ไร่
2.5
อาหารและการให้อาหาร
อาหารสำหรับการเลี้ยงกุ้งอินทรีย์จำเป็นต้องเป็นอาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบอินทรีย์
ไม่ใช้วัตถุอาหารที่ได้จากการดัดแปลงทางพันธุกรรม
(GMOs)
นอกจากนั้นแล้ววิธีการ
จัดการให้อาหารอย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศษอาหารเหลือน้อย
อัตราการแลกอาหารเป็นเนื้อต่ำ
และสามารถลดปัญหาสิ่งแวดล้อมในบ่อเลี้ยงได้เป็นอย่างดี
สำหรับข้อกำหนด
มีดังนี้
1)
ควรให้อาหารกุ้งอินทรีย์ที่มีวิธีการผลิตโดยสังเขป
ดังนี้
1.1)
ใช้ปลาป่นเป็นแหล่งโปรตีนหลักไม่ใช่กากถั่วเหลืองซึ่งผลิตจากถั่วที่ได้จากวิธีตัดต่อทางพันธุกรรมหรือสกัดด้วยตัวทำละลาย
1.2)
สารและวัสดุอื่น
ๆ
ในส่วนผสมหลักของสูตรอาหารกุ้ง
รวมทั้งสารเหนียวควรเป็นสารอินทรีย์เท่านั้น
1.3)
สามารถใช้อาหารเสริมและวิตามินที่เป็นสารที่ผลิตโดยวิธีอนินทรีย์ได ้ไม่เกิน
5%
2)
ไม่อนุญาตให้ใช้สารสังเคราะห์เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
และกระตุ้นอาหาร
3)
ห้ามใช้สารเคมีหรือวัตถุสังเคราะห์อื่น
ๆ
ซึ่งห้ามใช้ในสัตว์น้ำที่ประกาศตามกฏหมายว่าด้วยการควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์น้ำ
4)
ควรใช้อาหารเลี้ยงกุ้งที่มีคุณภาพดี
และวิธีการให้อาหารที่มีประสิทธิภาพ
5)
อาหารกุ้งควรเก็บไว้บนขาตั้งไม้ในที่ร่มเย็น
แห้ง
อากาศถ่ายเทดี
6)
ควรให้อาหารสดในกรณีจำเป็นเท่านั้นและควรมีวิธีจัดการที่ดีเพื่อป้องกันน้ำเสีย
2.6
การจัดการสุขภาพกุ้ง
การดูแลสุขภาพกุ้งจะช่วยลดความเครียดของกุ้งทำให้กุ้งเจริญเติบโตปกติ
มีอัตราการรอดตายสูง
การดูแลสุขภาพจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการหลาย
ๆ ด้าน เช่น
การจัดการการให้อาหารการจัดการคุณภาพน้ำ
และดินในบ่อเลี้ยง
การเลี้ยงกุ้งระบบอินทรีย์จะไม่สามารถใช้ยาและสารเคมีเหมือนกับการเลี้ยงโดยทั่วไปได้
นอกจากการใช้
สารเคมีบางชนิด
ที่อนุญาตให้ใช้ในการจัดการปรับปรุงคุณภาพน้าและดิน
และการจัดการสุขภาพกุ้งเบื้องต้น
ข้อกำหนดการดูแลคุณภาพกุ้ง
มีดังนี้
1)
ควรตรวจสุขภาพกุ้งควบคู่ไปกับการตรวจคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงอยู่เป็นประจำ
2)
สารที่อนุญาตให้ใส่ได้ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำ
เพื่อให้กุ้งเลี้ยงคลายเครียดหรือให้ใช้เพื่อภูมิต้านทานโรคและป้องกันรักษาโรคได้แก่
2.1)
ใช้ probiotic
จุลินทรีย์และสมุนไพรที่ผลิตจากพันธุ์ปกติไม่ได้ตัดแต่งทางพันธุกรรม
(GMOs)
2.2)
Iodophor
สำหรับฆ่าเชื้ออุปกรณ์
และเครื่องใช้ต่าง
ๆ
2.3)
Hydrogen peroxide และ Sodium
hypochloride
สำหรับช่วยลดปริมาณแพลงก์ตอนและปรับปรุง
คุณภาพน้ำ
2.4)
Chloroform, Chloramine, กรด
Formic
ซึ่งสามารถใช้ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำ
และลดปริมาณแพลงก์ตอนในบ่อเลี้ยงได้
3)
ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะ
สารเคมีและวัตถุต่าง
ๆ
ที่ไม่ได้กล่าวมาในข้อ
2
อย่างเด็ดขาด
4)
ห้ามใช้วัคซีนที่ทำจากเชื้อตัดแต่งทางพันธุกรรม
(GMOs)
5)
ห้ามใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์
6)
ถ้าเกิดโรคหรือโรคระบาดต้องปรับปรุงคุณภาพน้ำ
เช่น
เปลี่ยนถ่ายน้ำมากขึ้นเพื่อช่วยให้กุ้งคลายเครียดหรือใช้สมุนไพร
ถ้าอาการจะไม่ดีขึ้นควรจับกุ้งขายทันที
7)
ควรมีมาตรการป้องกันการระบาดของโรคจากบ่อหนึ่งไปยังอีกบ่อหนึ่งและจากฟาร์มหนึ่งไปยังอีกฟาร์มหนึ่ง
2.7
น้ำทิ้งและตะกอนเลน
น้ำทิ้งจากบ่อเลี้ยงกุ้งประกอบด้วยธาตุอาหาร
ตะกอนจุลินทรีย์
แพลงก์ตอน
และสารอื่น ๆ
อยู่ในระดับสูง
วิธีการจัดการเลี้ยงที่ดีจะช่วยให้น้ำทิ้งมีคุณภาพและลดปริมาณ
การทิ้งน้ำได้
ควรหาวิธีการปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งที่เหมาะสมและพยายามลดปริมาณน้ำทิ้ง
ตะกอนเลนควรมีวิธีกำจัดหือมีวิธีการนำไปใช้หรือทิ้งโดยไม่ทำลายระบบนิเวศ
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการน้ำทิ้งและตะกอนเลนมีดังนี้
1)
ควรบำรุงรักษาคลองในระบบฟาร์มและคันบ่อ
เพื่อลดการกัดเซาะและป้องกันการเน่าเสียของตะกอนเลนก้นคลอง
2)
ลดปริมาณการทิ้งน้ำโดยปรับเปลี่ยนเป็นการเลี้ยงระบบปิดหรือถ่ายน้ำหมุนเวียน
3)
ควรพิจารณาการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเพิ่มอาหารธรรมชาติในบ่อเลี้ยงในกรณีที่จำเป็นพร้อมด้วยวิธีการให้อาหารที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดเศษอาหารเหลือ
4)
ควรเก็บรักษาเชื้อเพลิง
อาหารกุ้งและอุปกรณ์ต่าง
ๆ
ในลักษณะที่ดี
เพื่อป้องกันการรั่วปนเปื้อนลงในน้ำและควรมีแผนการป้องกันแก้ไขเมื่อเกิดปัญหา
5)
น้ำทิ้งต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์มาตรฐานก่อนปล่อยหรือระบายทิ้ง
ดังนี้
5.1)
pH อยู่ระหว่าง
6.5 - 9
5.2)
BOD ไม่เกิน 20 มก./ล.
5.3)
ตะกอนแขวนลอย
(ss) ไม่เกิน 70 มก./ล.
5.4)
แอมโมเนียรวมไม่เกิน
1.1 มก./ล.
5.5)
ฟอสฟอรัสรวม
ไม่เกิน 0.4 มก./ล.
5.6)
ไนโตรเจน
ไม่เกิน 04 มก./ล.
5.7)
ไฮโตรเจนซัลไฟด์
ไม่เกิน 0.01 มก./ล.
6)
ควรระวังการถ่ายเทน้ำออกจากบ่อเลี้ยงเพื่อไม่ให้เกิดตะกอนลอยฟุ้งและควรมีวิธี ลดความเร็ว
ของน้ำในคลองน้ำทิ้งและปลายคลอง
7)
ควรออกแบบระบบน้ำทิ้งที่ไม่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำธรรมชาติและบริเวณน้ำทิ้ง
8)
ไม่ควรทิ้งน้ำลงคลองน้ำจืดและแหล่งเกษตรกรรม
9)
ตะกอนจากบ่อเลี้ยง
คลองหรือบ่อเก็บน้ำควรเก็บไว้ใช้ถมหรือเสริมบริเวณที่ถูกกัดเซาะ
หรือเลือกวิธีการทิ้งไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม
10)
ควรมีระบบสาธารณสุขสำหรับเจ้าหน้าที่ของฟาร์ม
11)
ขยะและสิ่งปฏิกูลจากฟาร์มควรมีการทิ้งและกำจัดอย่างถูกวิธี
12)
การจัดการฟาร์มถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ
13)
ผู้จัดการควรประเมินวิธีการ
การจัดการของเสียดังกล่าวและมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
2.8
การจับกุ้งและจำหน่าย
การจับกุ้งก็มีความสำคัญในการรักษาคุณภาพกุ้งและการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วิธีการจับกุ้งที่ดี
เช่น
การจับในเวลาที่รวดเร็ว
มีการทำความสะอาดตัวกุ้ง
เบื้องต้น
การแช่เย็นอย่างรวดเร็วและการขนส่งอย่างถูกวิธี
จะสามารถรักษาคุณภาพและความสดของกุ้งได้อย่างมาก
นอกจากนั้นแล้ววิธีจำหน่าย
เช่นการจำหน่ายโดยตรง
ต่อผู้แปรรูป
(ห้องเย็น)
ก็จะเป็นวิธีการช่วยรักษาคุณภาพและความสดของกุ้งได้อีกวิธีหนึ่ง
ข้อกำหนดสำหรับการจับและจำหน่ายมีดังนี้
1)
เกษตรกรต้องวางแผนการจับและจำหน่ายอย่างรวดเร็ว
โดยเน้นการรักษาความสด
2)
ควรมีการตรวจสารเคมีตกค้างในตัวกุ้งก่อนการจับ
3)
การจับต้องป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โดยเน้นการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมและการปนเปื้อนเพิ่มเติมของก้นบ่อโดยงดเว้นการใช้สารเคมีช่วยในการจับกุ้ง
4)
ในกรณีที่ว่าจ้างการจับกุ้ง
เกษตรกรต้องควบคุมให้มีการจับตามวิธีข้อ
3
5)
เกษตรกรควรพยายามจำหน่ายกุ้งโดยตรงกับผู้แปรรูป
เพื่อเป็นการรักษาความสดของกุ้ง
6)
เกษตรกรต้องพยายามส่งเสริมให้มีระบบที่เก็บรักษาความสดในการขนส่งกุ้ง
และวัสดุที่ใช้
เช่น น้ำแข็งต้องสะอาดและถูกสุขอนามัยไม่เพิ่มความปนเปื้อนลงในวัตถุ
ดิบกุ้งที่จับ
7)
จัดให้มีระบบบันทึกการจับ
โดยให้สามารถสอบกลับได้
2.9
ความรับผิดชอบทางสังคม
ปัญหาระหว่างผู้เลี้ยงกุ้งกับประชาชนในท้องถิ่นและปัญหาระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างส่วนใหญ่เป็นปัญหาแรงงานซึ่งค่อนข้างซับซ้อน
วิธีการบริหารฟาร์มที่ดีจะสามารถ
ทำให้ผู้ประกอบการขนาดใหญ่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่เนื่องจากประเทศไทยมีฟาร์มขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้น
การจัดระบบองค์กรผู้เลี้ยงจะ
เป็นแนวทางหนึ่งในการรวมกลุ่มเพื่อให้การเลี้ยงมีประสิทธิภาพ
ซึ่งมีข้อกำหนดดังนี้
1)
ผู้เลี้ยง
หรือองค์กรผู้เลี้ยงควรมีการพบปะกับชุมชนท้องถิ่นเป็นครั้งคราว
2)
ผู้เลี้ยงหรือองค์กรผู้เลี้ยงควรพยายามใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างประหยัดและส่งเสริมการปลูกป่าชายเลน
เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนท้องถิ่น และไม่
กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
3)
ผู้เลี้ยงหรือองค์กรผู้เลี้ยง
ควรช่วยเหลือชุมชนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมท้องถิ่น
สาธารณสุขความปลอดภัยและการศึกษา
4)
ผู้เลี้ยงหรือองค์กรผู้เลี้ยง
ควรสร้างความเข้าใจในหน้าที่
และระบบการทำงานขององค์กรฟาร์มให้แก่ลูกจ้าง
5)
ควรพิจารณาจ้างแรงงานท้องถิ่น
6)
ควรจัดจ้างแรงงานตามกฎหมาย
7)
ควรมีระบบสวัสดิการต่อแรงงานอย่างครบถ้วน
8)
ควรมีนโยบายระบบการจัดการฟาร์มที่ชัดเจน
2.10
การรวมกลุ่มและการฝึกอบรม
จากข้อมูลการพัฒนาการเลี้ยงกุ้งในประเทศไทยพบว่าการรวมกลุ่มผู้เลี้ยง
โดยมีการพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านเทคนิคและการจัดการเลี้ยงจะช่วยให้การเลี้ยงกุ้ง
มีการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้การพัฒนาสู่การเลี้ยงกุ้งอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
จำเป็นต้องเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูน
ความรู้ทางวิชาการคำแนะนำสำหรับการรวมกลุ่มและการฝึกอบรมมีดังนี้
1)
ควรมีการรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ
2)
ควรเข้าร่วมการฝึกอบรมด้านวิชาการทั้งการจัดการการเลี้ยง
และการใช้ปัจจัยการผลิต
3)
ควรเข้าร่วมการฝึกอบรมด้านกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้ง
4)
ควรส่งเสริมด้านจริยธรรมและคุณธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
2.11
ระบบการเก็บข้อมูล
ระบบการจัดการเพื่อการเลี้ยงกุ้งทะเลสามารถดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพพร้อมกับมีการแก้ไขปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา
จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีระบบการเก็บข้อมูล
ของการเลี้ยงที่ดีเพื่อสามารถทบทวนข้อมูลนำไปสู่การปรับปรุงระบบ
เพื่อการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพหรือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในรุ่นต่อ
ๆ ไปได้
หรือใน
กรณีที่มีปัญหาในการเลี้ยง
เช่น
ปัญหาโรคระบาด
ผู้เลี้ยงสามารถนำข้อมูลที่เก็บไว้มาพิจารณาเพื่อหาสาเหตุและหาลู่ทางเพื่อการปรับปรุงแก้ไขในการเลี้ยงรุ่นต่อไปได้ข้อมูล
ที่ควรเก็บมีดังนี้
1)
การเตรียมตัวของเจ้าของฟาร์มและเจ้าหน้าที่ฟาร์ม
2)
การเลือกสถานที่และการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อม
3)
การจัดการการเลี้ยงทั่วไปและการเตรียมบ่อ
4)
การคัดเลือกและการปล่อยลูกกุ้ง
5)
อาหารและการให้อาหาร
6)
การจัดการสุขภาพกุ้ง
7)
น้ำทิ้งและตะกอนเลน
8)
การจับและจำหน่าย
9)
ความรับผิดชอบทางสังคม
10)
การรวมกลุ่มและการฝึกอบรม
11)
รายละเอียดเรื่องการเลี้ยงทั้งหมด
ตารางที่
1
เปรียบเทียบการเลี้ยงกุ้งระบบอินทรีย์และระบบการรับรองคุณภาพอื่น
ๆของกรมประมง
|